47

Behavior

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: Behavior
Page 2: Behavior

พฤติกรรม (BEHAVIOR)

☞ก า ร ต อ บ ส น อ ง ข อ ง สิ ่ง ม ีช ีว ิต ต ่อ ก า ร

เปลี ่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ทั ้งภายนอก

ร่างกาย และภายในร่างกายเพื่อการอยู่รอด

☞พฤติกรรมจึงเป็นกลไกอย่างหนึ ่งในการ

รักษาดุลยภาพของร่างกาย (Homeostasis)

Page 3: Behavior

การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์

☃ พฤติกรรมของสัตว์ เกิดจากการ

ประสานงานกันระหว่างระบบประสาท ระบบ

กล้ามเนื้อ ระบบโครงกระดูก ระบบต่อมไร้

ท่อ และระบบต่อมมีท่อ

Page 4: Behavior

การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์

1. การศึกษาทางด้านสรีรวิทยา

(physiological approach)

2. การศึกษาทางด้านจิตวิทยา

(psychological approach)

Page 5: Behavior

การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์

การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ของนักพฤติกรรมศาสตร์ มี 2 วิธีคือ

1. การส ารวจในธรรมชาติ ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ

ต้องมีการติดตามเฝ้าดู โดยไม่ให้สัตว์รู้ตัว

2. การศึกษาในห้องทดลอง เป็นการทดลองเพื่อศึกษาพื้นฐานของ

ระบบประสาทในการแสดงพฤติกรรมต่างๆ

Page 6: Behavior

พฤติกรรม (Behavior)

การตอบสนองของสิ่งมีชีวิตต่อการเปลี่ยนแปลงของ

สภาพแวดล้อม ทั้งภายนอกร่างกาย และภายในร่างกายเพื่อ

การอยู่รอด

Gene

Environment

Behavior

Page 7: Behavior

สรุป

พฤติกรรมของสัตว์เป็นผลจากการ

ท างานร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรม

และสภาพแวดล้อม

Page 8: Behavior

Gene - ควบคุมพฤติกรรมซึ่งพัฒนาให้เหมาะสม

กับสภาพแวดล้อมโดย Natural selection

- ควบคุมระดบัการเจริญของ

ระบบประสาท

ฮอร์โมน

กล้ามเนื้อ

Page 9: Behavior

ขั้นตอนการเกิดพฤติกรรม :

Stimulus Recepter

Effector

Integrated

Center

Behavior

(หน่วยตอบสนอง)

(สิ่งเรา้)

(หน่วยรบัความรูส้ึก)

(สมอง, ไขสันหลงั)

ค าสั่ง

- พฤติกรรมจะสลบัซับซอ้นมากหรอืนอ้ยขึ้นกบัระดบัการเจรญิของปัจจยัตา่ง ๆ

ในขั้นตอนการเกดิพฤตกิรรมนี้

Page 10: Behavior

พฤติกรรมจ าแนกได้ออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ

(โดยแสดงพฤติกรรมออกมาได้ในช่วงชีวิตของสิ่งมีชวีติ)

1. Innate Behavior : พฤติกรรมทีม่ีมาแต่ก าเนิดและ

ไม่เปลี่ยนแปลง

2. Learned Behavior : พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

ปรับเปลี่ยนได้ขึ้นกับ Experience ในช่วงชีวิต

Page 11: Behavior

Innate Behavior

(Autometic responses to the environment)

เป็นพฤติกรรมง่าย ๆ มีลักษณะเฉพาะตัวที่ใช้ในการ

ตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่ง และพฤติกรรมนี้สตัว์ใน species

เดียวกันจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างหนึ่งเหมือนกัน

(FAP : Fixed - action pattern)

ตัวอย่าง : การกลืนอาหาร, การตวัดลิ้นจบัแมลง

- พฤติกรรมนีไ้ดม้าจากกรรมพันธุเ์ทา่นัน้ ไม่จ าเปน็ต้องเรยีนรูม้ากอ่น

- พบในสตัวช์ัน้ต่ าซึง่มรีะบบประสาทยังไม่เจรญิดี เช่น Protozoa

Page 12: Behavior

1. Orientation :

พฤติกรรมการวางตัวของสัตว์ซึง่จะเกีย่วขอ้งกับ

การเคลื่อนที่แบ่งได้ 2 แบบ

1.1 Kinesis พฤติกรรมการเคลื่อนที่โดย

ตอบสนองต่อสิ่งเร้าด้วยการเคลื่อนที่หนีหรือเข้าหา

โดยไม่มทีิศทาง

เช่น Paramecium, Isopod (ตัวกะป)ิ

Page 13: Behavior

1.2 Taxis พฤติกรรมการเคลื่อนที่เข้าหาสิ่งเร้า

อย่างมีทศิทางที่แน่นอน

เช่น หนอนแมลงวัน, เห็บ, ยุง

- สัตว์จะต้องมี Sensory receptor ที่เหมาะสมกับสิ่งเร้า

- ช่วยให้ให้สัตว์หาต าแหน่งของบ้านได้ถูกต้อง

Page 14: Behavior

รูปพารามีเซียม Kinesis Taxis Schooling

Kinesis

Page 15: Behavior
Page 16: Behavior
Page 17: Behavior

Learning เป็นการเพิ่ม fitness (การอยู่รอดและ

สืบพันธุ์) ให้แก่สัตว์

พฤติกรรมที่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่มีในอดีตมา

ปรับปรุงในพฤติกรรมที่เกิดขึ้น แบ่งออกได้ หลายแบบ

ดังนี้

Learned Behavior

Page 18: Behavior

1. HABITUATION (ความเคยชิน)

เป็นการลดภาระการตอบสนองของสัตว์ ท าให้

ประหยัดพลังงาน

พฤติกรรมที่สัตว์เพิกเฉยที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า

ที่มิได้มีผลต่อการด ารงชีวิตเมื่อได้รับการกระตุ้นจากสิ่ง

เร้านั้นเป็นเวลานาน

Page 19: Behavior
Page 20: Behavior

2.Conditioning (การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข)

เป็นพฤติกรรมทีส่ิ่งเร้าตัวหนึ่งเข้าแทนสิ่งเร้าที ่ แท้จริง

(สิ่งเร้าเดิม) แล้วชักน าให้เกิดการตอบสนอง ชนิดเดียวกัน

ตัวอย่าง หมา + เนื้อ( Stimulus I ) น้ าลายไหล

หมา + เสียงกระดิ่ง + เนื้อ( Stimulus II ) น้ าลายไหล

หมา + เสียงกระดิง่ น้ าลายไหล

Page 21: Behavior

3. Trial and Error : (การลองผิดลองถูก)

ซับซ้อนมากกว่า Habituation

เป็นพฤติกรรมทีส่ัตว์แสดงออกโดยบังเอญิ

แล้วถ้าได้รางวัลก็จะชักน าใหท้ าพฤติกรรมเชน่นั้นอกี : การ

ตอบสนอง (Response) ถูกต้องท าใหอ้ยู่รอดและประสบผลส าเร็จ

ในการสืบพันธุ์

- Reward (ให้รางวลั)

- Punishment (การลงโทษ)

Page 22: Behavior
Page 23: Behavior

4. Imprinting (ความฝังใจ): การเรียนรู้ที่จ ากัดโดยเวลา

เป็นพฤติกรรมที่สัตว์สามารถจดจ าและผูกพันกบัแม่หรือพ่อได้

พฤติกรรมความฝังใจนี้จะเป็นการท างานร่วมกันระหว่าง

กรรมพันธุ์และการเรียนรู้ โดยกรรมพันธุ์จะเป็นตัวก าหนดช่วงเวลาที่

จ าเป็น ซึ่งจะเกิดความฝังใจขึ้น ส่วนการเรียนรู้ความผูกพันระหว่าง

สัตว์กับพ่อแม่หรือวตัถุที่จะท าให้เกิดความฝังใจขึ้น

Page 24: Behavior

Imprinting

Page 25: Behavior

5. Insight Learning (การรู้จักใช้เหตผุล) :

เกิดในพวก Primates

เป็นพฤติกรรมที่มกีารดัดแปลงมาจากการลองผิดลองถูก โดย

การเรียนรู้นี้จะเกดิขึ้นอย่างรวดเร็วโดยสัตว์ตอบสนองได้ถูกต้องเลยใน

ครั้งแรก

สรุป Fixed-action pattern Insight

มีเป้าหมาย เพิ่มโอกาสอยู่รอด + โอกาสสืบพันธุ์

(Innate) (Learned)

Page 26: Behavior

ดังนั้น Gene ควบคุมการเรียนรู้

สิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ

ให้ Fitness กับ Environment

Page 27: Behavior

การสื่อสารระหว่างสัตว์

พฤติกรรมสื่อสารระหว่างสัตว์

(animal communication behavior) มีหลายลักษณะดังนี้

1. การสื่อสารด้วยท่าทาง (visual communication) การสื่อสาร

ด้วยท่าทาง พบได้ในสัตว์หลายชนิด เช่น การกระดิกหางของสุนัข

แสดงการต้อนรับ และหางตกแสดงอาการกลัว

Page 28: Behavior

การสื่อสารของผึ้ง ศึกษาและทดลองเมื่อปี พ.ศ. 2488 โดย

คาร์ล ฟอน ฟริช (Karl von Frisch) แห่งมหาวิทยาลัยมิวนิค

เยอรมันตะวันตก โดยฟริชพบว่าผึ้งส ารวจ(scout honeybee) มี

ความสามารถในการส่งข่าวให้ผึ้งงาน (worker) ทราบได้ว่าที่ใดมี

อาหารและเป็นอาหารชนิดใด โดยที่ผึ้งส ารวจจะน าอาหารมายังรังแล้ว

หยอดอาหารนั้นให้ผึ้งในรังทราบต่อจากนั้นผึ้งส ารวจจะเต้นร าเพื่อ

บอกระยะทางและทิศทางของอาหาร โดยเต้นร าเป็น 2 แบบคือ

Page 29: Behavior

1. การเต้นร าแบบวงกลม (round dance)

เป็นการสื่อสารเพื่อให้ทราบว่าอาหารอยู่ใกล้กับรังในระยะน้อยกว่า 100 เมตร

Page 30: Behavior

2. การเต้นร าแบบส่ายท้อง (wagging dance) หรือการเต้นระบ า

แบบเลขแปด ซึ่งมีความซับซ้อนกว่าแบบแรกเพราะจะใช้ในการ

สื่อสารบอกต าแหน่งของอาหารและระยะทางของอาหารได้ หลังจากที่

ผึ้งส ารวจไปพบแหล่งอาหารจะกลับมารังแล้วเต้นระบ าแบบส่ายท้อง

หมุนไปทางขวาทีซ้ายทีเป็นรูปเลขแปด

Page 31: Behavior
Page 32: Behavior

การสื่อสารของปลาสติกเกิลสามหนาม

Page 33: Behavior

2. การสื่อสารด้วยเสียง (SOUND COMMUNICATION)

การสื่อสารด้วยเสียงเป็นการสื่อสารที่คุ้นพบมากในสัตว์ชั้นสูงทั่วๆไป และ

ยังพบในแมลงด้วย

2.1 ใช้บอกชนิดของสัตว์ ซึ่งอยู่ในสปีชีส์เดียวกัน

2.2 ใช้บอกเพศว่าเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย

2.3 ใช้บอกต าแหน่งของตนเองให้ทราบว่าอยู่ที่จุดใด

2.4 เป็นการประกาศเขตแดนให้สัตว์ตัวอื่นๆ รู้

2.5 ใช้บอกสัญญาณเตือนภัยหรือข่มขู่

2.6 ใช้บอกความรู้สึกต่างๆ และการเกี้ยวพาราสี

Page 34: Behavior

ชนิดของเสียง

1. เสียงเรียกติดต่อ (contact calls) เป็นสัญญาณในการรวมกลุ่มของสัตว์ชนิด

เดียวกัน เช่น แกะ สิงโตทะเล

2. เสียงเรียกเตือนภัย (warning calls) โดยเมื่อสัตว์ตัวหนึ่งพบว่าจะมีอันตราย

เกิดขึ้นจะส่งเสียงร้องให้สัตว์ตัวอื่น ๆ ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น นก กระรอก

3. เสียงเรียกคู่ (mating calls) เช่น การร้องเรียกคู่ของกบตัวผู้ เพื่อเรียกตัวเมีย

Page 35: Behavior

ชนิดของเสียง

ให้เข้ามาผสมพันธุ์ การสีปีกของจิ้งหรีดตัวผู้รียกร้องความสนใจจากตัวเมีย

การขยับปีกของยุงตัวเมีย เพื่อดึงดูดความสนใจของยุงตัวผู้ให้เข้ามาผสม

พันธุ์

4. เสียงก าหนดสถานที่ของวัตถุ (echolocation) เช่น ในโลมาและ

ค้างคาวจะใช้ เสียงในการน าทางและหาอาหาร โดยปล่อยเสียงที่มีความถี่

สูงออกไป และรับเสียงสะท้อนที่เกิดตามมาและมันจะรู้ได้ว่าต าแหน่งของ

วัตถุที่อยู่ข้างหน้าอยู่ที่ต าแหน่งใด

Page 36: Behavior

3. การสื่อสารด้วยการสัมผัส (TACTILE COMMUNICATION)

• การสัมผัสเป็นสื่อส าคัญอย่างหนึ่งของสัตว์ การอุ้มกอดซึ่งเป็นการ

แสดงถึงความรัก ทารกจะมีพัฒนาการดี ถ้าหากแม่เลี้ยงลูกด้วย

น้ านมของแม่เอง ลูกได้รับการสัมผัส ได้รับความอบอุ่นจากแม่

• นักวิทยาศาสตร์กล่าว่า การสัมผัสโดยการโอบกอด จะท าให้หัวใจ

สูบฉีดโลหิตดีขึ้น ท าให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ได้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์บริเวณผิวหนังที่สัมผัสการ

โอบกอดจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น ท าให้ภูมิต้านทานโรคเพิ่มขึ้น

ด้วย

Page 37: Behavior

4. การสื่อสารด้วยสารเคมี (CHEMICAL COMMUNICATION)

4.1 ฟีโรโมนที่ท าให้เกิดพฤติกรรมทันที (releaser pheromone)

เช่น สารดึงดูดเพศตรงข้าม (sex attractants) เช่น ฟีโรโมนที่

ผีเสื้อไหมตัวเมียปล่อยออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของผีเสื้อไหมตัวผู้

4.2 ฟีโรโมนที่ไปกระตุ้น แต่ไม่เกิดพฤติกรรมทันที (primer

pheromone) ฟีโรโมนชนิดนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทางสรีรวิทยา และเกิดพฤติกรรมในเวลาต่อมา เช่น ฟีโรโมนของ

หนูตัวผู้ชักน าให้หนูตัวเมีย เป็นสัดและพร้อมที่จะผสมพันธุ์

Page 38: Behavior

ฟีโรโมนของแมลงส่วนใหญ่เป็นสารพวกแอลกอฮอล์โมเลกุลสั้นๆ จึงระเหยไปในอากาศ

ได้ดี จึงสามารถไปกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ได้ฟีโรโมนที่ส าคัญ ได้แก่

1) ฟีโรโมนทางเพศ (sex pheromone) พบในแมลงหลายชนิด

เช่น ผีเสื้อไหมตัวเมีย จะปล่อยสารแอลกอฮอล์เรียกว่าบอมบายโกล

(Bombygol) เพื่อดึงดูดผีเสื้อไหมตัวผู้ให้มาหาและเกิดการผสมพันธุ์

ผีเสื้อไหมตัวผู้จะมีหนวด มีลักษณะเหมือนฟันหวีเป็นอวัยวะรับกลิ่น

ฟีโรโมนชนิดนี้มีประสิทธิ์ภาพสูง ท าให้ดึงดูดเพศตรงข้ามได้แม้ว่าจะ

อยู่ไกลๆ ในปัจจุบันมีการสังเคราะห์สาร เช่น ยูจีนอล (eugnol)

ซึ่งเลียนแบบฟีโรโมนธรรมชาติ เพื่อดึงดูดแมลงวันทองหรือแมลงวัน

ผลไม้ให้มารวมกันเพื่อก าจัดแมลงได้ครั้งละมากๆ

Page 39: Behavior

2) ฟีโรโมนปลุกระดม (aggregation pheromon) เป็นสารที่ใช้

ประโยชน์ ในการปลุกระดมให้มารวมกลุ่มกันเพื่อกินอาหารผสม

พันธุ์หรือวางไข่ ในแหล่งที่เหมาะสม เช่น ด้วงที่ท าลายเปลือกไม้

(bark beetle) ปล่อยฟีโรโมนออกมา เพื่อรวมกลุ่มกันยังต้นไม้ที่

เป็นอาหารได้

Page 40: Behavior

3) ฟีโรโมนเตือนภัย (alarm pheromone) สารนี้จะปล่อยออกมา

เมื่อมีอันตราย เช่น

มีผู้บุกรุกผึ้งหรือต่อที่ท าหน้าที่เป็น ทหาร ยาม จะปล่อย

สารเคมีออกมาให้ผึ้งหรือต่อในรังรู้ ผึ้งเมื่อต่อยผู้บุกรุกแล้วจะปล่อย

สารเคมีเตือนภัยเรียกว่า ไอโซเอมิลแอซิเตต (isoamyl acetate)

ไปให้ผึ้งตัวอื่นรู้เพื่อจะได้ช่วยกันต่อสู้ศัตรูที่บุกรุกเข้ามา

Page 41: Behavior

4) ฟีโรโมนตามรอย (trail rhermone) เช่น สุนัขจะ

ปล่อยสารฟีโรโมนไปกับปัสสาวะตลอดทางที่ผ่านไป เพื่อเป็น

เครื่องหมายน าทางและประกาศเขตแดน ผึ้งและมดจะผลิตสาร

จากต่อมดูเฟอร์ (Dufour’s gland) ซึ่งอยู่ติดกับต่อม

เหล็กในท าให้สามารถตามรอยไปยังแหล่งอาหารได้ ผึ้งยังใช้

สารที่สะสมจากดอกไม้เรียกว่า เจรานิออล (geraniol) เป็น

สารในการตามรอยด้วย

Page 42: Behavior

5) ฟีโรโมนนางพญา (queen – substance pheromone) สารชนิดนี้

พบในแมลงสังคม (social insect) เช่น ผึ้ง ตัวต่อ แตน มด ปลวก

สารชนิดนี้ท าหน้าที่ในการควบคุมสังคม ฟีโรโมนของนางพญาผึ้ง คือ สาร

ที่มีฤทธิ์เป็นกรดคือ กรดคีโตเดเซโนอิก (keto – decenoic acid) สาร

นี้จะปล่อยออกจากตัวนางพญา เมื่อผึ้งงานท าความสะอาดจะได้รับกลิ่นทาง

หนวด และเมื่อเลียตัวนางพญาก็จะได้กินสารนี้ด้วย ท าให้ผึ้งงานเป็นหมัน

และท างานตลอดไป นอกจากนี้ยังท าหน้าที่เป็น ฟีโรโมนทางเพศ กระตุ้น

ให้ผึ้งตัวผู้ผสมพันธุ์ และยังควบคุมไม่ให้ผึ้งงานผลิตผึ้งนางพญาตัวใหม่

ด้วย ดังนั้นรังผึ้งจึงมี นางพญาเพียงตัวเดียว

Page 43: Behavior

ข้อควรทราบ

สารเคมีที่ท าหน้าที่ในการป้องกันตัวช่วยให้ปลอดภัยเรียกว่า

แอลโลโมน (allomone) เช่น ตัวสกั๊งจะปล่อยกลิ่นที่เหม็นมาก

ออกจากต่อมทวารหนัก แมลงตดเมื่ออยู่ในภาวะอันตรายจะปล่อย

สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรด และมีกลิ่นเหม็นมากเพื่อป้องกันตัวท าให้

ศัตรูละทิ้งไป

Page 44: Behavior

5. การสื่อสารโดยใช้รหัสแสง (LUMINOUS COMMUNICATION)

การสื่อสารแบบนี้ พบในสัตว์ที่มีกิจกรรมกลางคืน หรือในที่มีแสงน้อย เช่น

ใต้ทะเลลึก ซึ่งไม่มีแสง (aphontic zone) สัตว์กลุ่มนี้ เช่น หิ่งห้อย จะมี

กระบวนการไบโอลูมิเนสเซนซ์ (bioluminescence) โดยการท างานของ

สารลูซิเฟอริน (luciferin) กับ แก๊สออกซิเจน และมีเอนไซม์ ลูซิเฟอเรส

(luciferase) เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาและมีพลังงานปลดปล่อยออกมา ในหิ่งห้อยตัว

เมีย บินไม่ได้แต่จะเกาะอยู่บนต้นไม้ เมื่อหิ่งห้อยตัวเมียปล่อยรหัสแสงออกมา ท า

ให้หิ่งห้อยตัวผู้เห็นและรู้ว่าเป็นชนิดเดียวกัน ตัวผู้จะบินไปหาและเกิดการรวมกลุ่ม

ผสมพันธุ์กันโดยไม่ผสมข้ามพันธุ์ เพราะรหัสแสงแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่าง

กันไปท าให้มีความเฉพาะเจาะจงของสิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์

Page 45: Behavior
Page 46: Behavior
Page 47: Behavior