Upload
-
View
390
Download
0
Tags:
Embed Size (px)
Citation preview
OUTLINE
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงกี่�อนคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงกี่�อนคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20
Natural UnfoldmentMental Discipline Apperception, Herbartianism
CognitivismBehaviorism Humanism Electicism
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรม (Behaviorism)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพ�ทธิ�น�ยม หร$อกี่ลุ่��มความร��ความเข้�าใจ
(Cognitivism)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มมน�ษยน�ยม (Humanism)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มผสมผสาน (Eclecticism)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม (Behaviorism)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค�
(Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่ (Hull’s systematic Behavior Theory)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค� (Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค� (Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
Edward Thorndike
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค�
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค� (Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค� (Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
การเร�ยนร� เกดจากการเชื่��อมโยงระหว่�างสิ่�งเราก�บการตอบสิ่นอง ซึ่��งม�หลายร�ปแบบ บ"คคลจะม�การลองผิดลองถู�ก (trial and error) ปร�บเปล��ยนไปเร��อย ๆ จนกว่�าจะพบร�ป
แบบการตอบสิ่นองที่��สิ่ามารถูใหผิลที่��พ�งพอใจมากที่��สิ่"ด
กี่ฎีกี่ารเร�ยนร��ข้องธิอร�นไดค�
กี่ฎีแห�งความพร�อม (Law of Readiness)
กี่ฎีแห�งกี่ารฝึ.กี่ห�ด (Law of Exercise)
กี่ฎีแห�งกี่ารใช่� (Law of Use and Disuse)
กี่ฎีแห�งผลุ่ท��พ/งพอใจ (Law of Effect)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค�
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค� (Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค� (Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
กี่ารจ�ดกี่ารเร�ยนกี่ารสอน
1.การเป+ดโอกาสิ่ใหผิ�เร�ยนไดเร�ยนแบบลองผิดลองถู�กบาง2.การสิ่,ารว่จคว่ามพรอมหร�อการสิ่รางคว่ามพรอมของผิ�เร�ยน
เป.นสิ่�งจ,าเป.นที่�� ตองกระที่,าก�อนการสิ่อนบที่เร�ยน3.หากตองการใหผิ�เร�ยนม�ที่�กษะในเร��องใดจะตองชื่�ว่ยใหเขา
เกดคว่ามเขาใจใน เร��องน�0นอย�างแที่จรง แลว่ใหฝึ2กฝึนโดยกระที่,าสิ่�งน�0นบ�อย ๆ
4.เม��อผิ�เร�ยนเกดการเร�ยนร� แลว่คว่รใหผิ�เร�ยนฝึ2กการน,าการเร�ยนร� น� 0นไปใชื่บ�อย ๆ
5.การใหผิ�เร�ยนไดร�บผิลที่��ตนพ�งพอใจ จะชื่�ว่ยใหการเร�ยนการสิ่อนประสิ่บผิลสิ่,าเร3จ
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค�
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม (Behaviorism)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค�
(Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่ (Hull’s systematic Behavior Theory)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์� (Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น (Watson)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง (Contiguous Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� (Operant Condition-ing)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
(Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
Ivan Pavlov
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
(Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
(Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
การเร�ยนร� ของสิ่"น�ขเกดจากการร� จ�กเชื่��อมโยงระหว่�าง เสิ่�ยงกระด�ง ผิงเน�0อบด และพฤตกรรม
น,0าลายไหล พาฟลอฟจ�งสิ่ร"ปว่�าการเร�ยนร� ของสิ่�งม�ชื่�ว่ตเกดจากการตอบสิ่นองต�อสิ่�งเราที่��ว่างเง��อนไข
(conditioned stimulus)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
(Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
กี่ฎีกี่ารเร�ยนร�� 10 ข้�อข้องพาฟลุ่อพ1.พฤตกรรมการตอบสิ่นองของมน"ษย6เกดจากการว่างเง��อนไข ที่��ตอบ
สิ่นองต�อคว่ามตองการที่างธรรมชื่าต 2.พฤตกรรมการตอบสิ่นองของมน"ษย6สิ่ามารถูเกดข�0นไดจากสิ่�งเราที่��
เชื่��อมโยงก�บ สิ่�งเราตามธรรมชื่าต3.พฤตกรรมการตอบสิ่นองของมน"ษย6ที่��เกดจากสิ่�งเราที่��เชื่��อมโยงก�บสิ่�ง
เรา ตามธรรมชื่าตจะลดลงเร��อย ๆ และหย"ดลงในที่��สิ่"ดหากไม�ไดร�บการตอบสิ่นองตามธรรมชื่าต
4.พฤตกรรมการตอบสิ่นองของมน"ษย6ต�อสิ่�งเราที่��เชื่��อมโยงก�บสิ่�งเราตาม ธรรมชื่าตจะลดลงและหย"ดไปเม��อไม�ไดร�บการตอบสิ่นองตามธรรมชื่าตและจะกล�บปรากฏ ข�0นไดอ�กโดยไม�ตองใชื่สิ่�งเราตามธรรมชื่าต
5.มน"ษย6ม�แนว่โนมที่��จะร�บร� สิ่�งเราที่��ม�ล�กษณะคลาย ๆ ก�นและจะตอบสิ่นองเหม�อน ๆ ก�น
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
(Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
กี่ฎีกี่ารเร�ยนร�� 10 ข้�อข้องพาฟลุ่อพ
6.บ"คคลม�แนว่โนมที่�จะจ,าแนกล�กษณะของสิ่�งเราใหแตกต�างก�นและเล�อกตอบสิ่นอง ไดถู�กตอง
7.กฎแห�งการลดภาว่ะ (Law of Extinction) พาฟลอฟ กล�าว่ว่�า คว่ามเขมของการตอบสิ่นองจะลดลงเร��อย ๆ หากบ"คคลไดร�บแต�สิ่�งเราที่��ว่างเง��อนไขอย�างเด�ยว่ หร�อคว่ามสิ่�มพ�นธ6ระหว่�างสิ่�งเราที่��ว่างเง��อนไขก�บสิ่�งเราที่��ไม�ว่าง เง��อนไขห�างก�นออกไปมากข�0น
8.กฎแห�งการฟ<0 นค�นสิ่ภาพเดมตามธรรมชื่าต (Law of Spontaneous Recovery)
9.กฎแห�งการถู�ายโยงการเร�ยนร� สิ่��สิ่ถูานการณ6อ��น (Law of Generalization)
10.กฎแห�งการจ,าแนกคว่ามแตกต�าง (Law of Discrimination)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
(Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์�
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
กี่ารจ�ดกี่ารเร�ยนกี่ารสอน1.การน,าคว่ามตองการที่างธรรมชื่าตของคร�ผิ�สิ่อนมาใชื่เป.นสิ่�งเรา สิ่ามารถูชื่�ว่ย
ใหผิ�เร�ยนเกดการเร�ยนร� ไดด�2.การสิ่อนใหผิ�เร�ยนเกดการเร�ยนร� ในเร��องใด อาจใชื่ว่ธ�เสิ่นอสิ่�งที่��จะสิ่อนไป
พรอม ๆ ก�น ก�บสิ่�งเราที่��ผิ�เร�ยนชื่อบตามธรรมชื่าต3.การน,าเร��องที่��เคยสิ่อนไปแลว่มาสิ่อนใหม� สิ่ามารถูชื่�ว่ยใหเด3กเกดการเร�ยนร�
ตามที่��ตองการได4.การจ�ดกจกรรมการเร�ยนใหต�อเน��องและม�ล�กษณะคลายคล�งก�น สิ่ามารถูชื่�ว่ย
ใหผิ�เร�ยนเกดการเร�ยนร� ไดง�ายข�0น 5.การเสิ่นอสิ่�งเราใหชื่�ดเจนในการสิ่อน จะสิ่ามารถูชื่�ว่ยใหผิ�เร�ยนเกดการเร�ยนร�
และตอบสิ่นองไดชื่�ดเจนข�0น6.หากตองการใหผิ�เร�ยนเกดพฤตกรรมใด คว่รม�การใชื่สิ่�งเราหลายแบบ แต�ตอง
ม�สิ่�งเราที่��ม�การตอบสิ่นองโดยไม�ม�เง��อนไขคว่บค��อย��ดว่ย
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์� (Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น (Watson)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง (Contiguous Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� (Operant Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น
(Watson)
John B. Watson
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น
(Watson)
ภาพการที่ดลองของ ว่�ตสิ่�น
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น
(Watson)กี่ฎีกี่ารเร�ยนร��
ข้องว�ต์ส�น
1. พฤตกรรมเป.นสิ่�งที่��สิ่ามารถูคว่บค"มใหเกดได โดยการคว่บค"มสิ่�งเราที่��ว่างเง��อนไขใหสิ่�มพ�นธ6ก�บสิ่�งเราตามธรรมชื่าต และการเร�ยนร� จะคงที่นถูาว่รหากม�การใหสิ่�งเราที่��สิ่�มพ�นธ6ก�นน�0นคว่บค��ก�นไป อย�างสิ่ม,�าเสิ่มอ
2.เม��อสิ่ามารถูที่,าใหเกดพฤตกรรมใดๆไดก3สิ่ามารถูลดพฤตกรรมน�0นใหหายไปได
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น
(Watson)หล�กการจ�ดการเร�ยน
การสิ่อน
1.ในการสิ่รางพฤตกรรรมอย�างใดอย�างหน��งใหเกดข�0นในผิ�เร�ยนคว่รพจารณา สิ่�งจ�งใจหร�อสิ่�งเราที่��เหมาะสิ่มก�บภ�มหล�งและคว่ามตองการของผิ�เร�ยนมาใชื่ เป.นสิ่�งเราคว่บค��ไปก�บสิ่�งเราที่��ว่างเง��อนไข
2. การลบพฤตกรรรมที่��ไม�พ�งปรารถูนา สิ่ามารถูที่,าไดโดยหาสิ่�งเราตามธรรมชื่าตที่��ไม�ไดว่างเง��อนไขมาชื่�ว่ย
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์� (Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น (Watson)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง (Contiguous Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� (Operant Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง
(Contiguous Condition-ing)
Edwin Ray Guthrie
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง
(Contiguous Condition-ing)
การที่ดลองของก�ที่ธร�
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง
(Contiguous Condition-ing)
แมว่ใชื่การกระที่,าคร�0งสิ่"ดที่ายที่��ประสิ่บผิลสิ่,าเร3จเป.นแบบแผินย�ดไว่สิ่,าหร�บการแก ป=ญหาคร�0งต�อไป และการเร�ยนร� เม��อเกดข�0นแลว่แม
เพ�ยงคร�0งเด�ยว่ก3น�บไดว่�าเร�ยนร� แลว่ ไม�จ,าเป.นตองที่,าซึ่,0าอ�ก กฎการเร�ยนร� ขอ
งก�ที่ธร� กฎแห�งคว่ามต�อเน��อง
(Law of Contiguity)
การเร�ยนร� เกดข�0นไดแมเพ�ยงคร�0งเด�ยว่ (One trial
learning)
กฎของการกระที่,าคร�0งสิ่"ดที่าย
(Low of Recency )
หล�กการจ�งใจ (Motivation)
หลุ่�กี่กี่ารจ�ดกี่ารศ/กี่ษา/กี่ารสอน
ข้ณะสอน ในกี่ารสอน ในกี่ารจบบทเร�ยน
กี่ารสร�างแรงจ�งใจ
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบอ�ต์โนม�ต์� (Classical Conditioning )
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ข้องว�ต์ส�น (Watson)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบต์�อเน$�อง (Contiguous Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� (Operant Condition-ing)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์�
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์�
(Operant Condition-ing)
B. F. Skinner
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์�
(Operant Condition-ing)
สกี่�ลุ่เนอร�แลุ่ะกี่ารทดลุ่อง
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์�
(Operant Condition-ing)กี่ฎีกี่ารเร�ยนร��ข้องสกี่�นเนอร�
1. การกระที่,าใดๆ ถูาไดร�บการเสิ่รมแรง จะม�แนว่โนมที่��จะเกดข�0นอ�ก สิ่�ว่นการกระที่,าที่��ไม�ม�การเสิ่รมแรง แนว่โนมที่��คว่ามถู��ของการกระที่,าน�0นจะลดลงและหายไปใน
2. การเสิ่รมแรงที่��แปรเล��ยนที่,าใหการตอบสิ่นองคงที่นกว่�าการเสิ่รมแงที่��ตายต�ว่
3.การลงโที่ษที่,าใหเร�ยนร� ไดเร3ว่และล�มเร3ว่ 4.การใหแรงเสิ่รมหร�อใหรางว่�ลเม��ออนที่ร�ย6กระที่,าพฤตกรรมที่��
ตองการ สิ่มารถูชื่�ว่ยปร�บหร�อปล�กฝึ=งนสิ่�ยที่��ตองการได
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์� ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้แบบโอเปอร�แรนต์�
(Operant Condition-ing)การจ�ดการเร�ยนการสิ่อน1.ในการสิ่อนการใหเสิ่รมแรงหล�งการตอบสิ่นอง ที่��
เหมาะสิ่มของเด3กจะชื่�ว่ยเพ�มอ�ตราการตอบสิ่นองที่��เหมาะสิ่มน�0น
2.การเว่นระยะการเสิ่รมแรงอย�างไม�เป.นระบบ หร�อเปล��ยนร�ปแบบการเสิ่รมแรงจะชื่�ว่ยใหการตอบสิ่นองของผิ�เร�ยนคงที่นถูาว่ร
3.การลงโที่ษที่��ร"นแรงเกนไปม�ผิลเสิ่�ยมาก ผิ�เร�ยนอาจไม�ไดเร�ยนร� หร�อจ,าสิ่�งที่��เร�ยนไดเลย คว่รใชื่ว่�การงดการเสิ่รมแรงเม��อน�กเร�ยนม�พฤตกรรมไม�พ�ง
4.หากตองการปร�บเปล��ยนพฤตกรรมหร�อปล�กฝึ=งนสิ่�ยใหแก�ผิ�เร�ยน การแยกแยะข�0นตอนของปฎกรยาตอบสิ่นองออกเป.นล,าด�บข�0น โดยพจารณาใหเหมาะสิ่มก�บคว่ามสิ่ามารถูของผิ�เร�ยน
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม (Behaviorism)
ทฤษฎี�กี่ารเช่$�อมโยงข้องธิอร�นไดค�
(Thorndike’s Classical Connectionism)
ทฤษฎี�กี่ารวางเง$�อนไข้ (Conditioning Theory)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่ (Hull’s systematic Behavior Theory)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่ (Hull’s systematic Behavior Theory)
Clark L. Hull
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่ (Hull’s systematic Behavior Theory)
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��
กี่ฎีแห�งสมรรถภาพในกี่ารต์อบสนอง (Law of Reactive In Hibition)
กี่ฎีแห�งกี่ารลุ่6าด�บกี่ลุ่��มน�ส�ย (Law of Habit Hierachy)
กี่ฎีแห�งกี่ารใกี่ลุ่�บรรลุ่�เป7าหมาย (Goal Gradient Hypothesis)
ทฤษฎี�เกี่��ยวกี่�บกี่ารเร�ยนร��ในช่�วงคร�สต์�ศต์วรรษท�� 20 ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��กี่ลุ่��มพฤต์�กี่รรมน�ยม ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่
ทฤษฎี�กี่ารเร�ยนร��ข้องฮั�ลุ่ (Hull’s systematic Behavior Theory)
กี่ารจ�ดกี่ารเร�ยนกี่ารสอน
1.ในการจ�ดการเร�ยนการสิ่อน คว่รค,าน�งถู�งคว่ามพรอม คว่ามสิ่ามารถูและเว่ลาที่��ผิ�เร�ยนจะเร�ยนไดด�ที่��สิ่"ด
2. ผิ�เร�ยนม�ระด�บของการแสิ่ดงออกไม�เที่�าก�น ในการจ�ดการเร�ยนการสิ่อน คว่รใหที่างเล�อกที่��หลากหลาย เพ��อผิ�เร�ยนจะไดตอบสิ่นองตามระด�บคว่ามสิ่ามารถูของตน
3. การใหเสิ่รมแรงในชื่�ว่งที่��ใกลเค�ยงก�บเป?าหมายมากที่��สิ่"ด จะชื่�ว่ยที่,าใหผิ�เร�ยนเกดการเร�ยนร� ไดด�