Upload
others
View
1
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
หน่วยการเรยีนรูท่ี้ 6 (1)เรื่อง พนัธะเคมี
*****************************************************************************
6.1 แรงยดึเหนี่ยวระหวา่งอนุภาคของสารในชวีติประจำาวนัทัว่ ๆ ไปจะพบวา่สารชนิดหนึ่ง ๆ มกัจะอยูร่วมกัน
เป็นกลุ่มก้อน และเมื่อต้องการทำาใหแ้ยกออกจากกันจะต้องใชพ้ลังงานจำานวนหน่ึง
ตัวอยา่งเชน่ นำ้า ซึ่งมสีตูรโมเลกลุ H2O ที่อุณหภมูหิอ้งจะอยูร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนในรูปของของเหลว เมื่อต้องการแยกโมเลกลุของนำ้าออกจากกันจะต้องใชพ้ลังงานจำานวนหนึ่ง เชน่ โดยการต้น ซึ่งเมื่อนำ้าได้รบัความรอ้นจะระเหยกลายเป็นไอ ไอนำ้าก็คือโมเลกลุของนำ้าที่แยกตัวออกมาจากนำ้านัน่เอง ทัง้นำ้าและไอนำ้ามสีตูรโมเลกลุอยา่งเดียวกันคือ H2O การท่ีต้องใชพ้ลังงานเพื่อท ำาใหน้ ำ้ากลายเป็นไอแสดงวา่น ำ้าอยูร่วมกันเป ็นของเหลวจะต้องมแีรงชนิดหนึ่งยดึเหนี่ยวโมเลกลุเขา้ไวด้้วยกัน เมื่อต้องการแยกโมเลกลุออกจากกันจงึต้องใชพ้ลังงานจำานวนหนึ่งใสเ่ขา้ไปเพื่อทำาลายแรงยดึเหนี่ยวนัน้ แรงยดึเหนี่ยวดังกล่าวนี้เรยีกวา่ แรงยดึเหน่ียวระหวา่งโมเลกลุ
นอกจากน้ีถ้าต้องการทำาใหโ้มเลกลุของนำ้าสลายตัวเป็นก๊าซ H2 และ O2 ก็จะต้องใชพ้ลังงานอีกจำานวนหนึ่ง การที่นำ้าซึ่งประกอบด้วยธาต ุ H และ O ต้องใชพ้ลังงานเพื่อทำาใหส้ลายตัวก็ยอ่มแสดงวา่ในระหวา่ง H กับ O ที่รวมตัวกันเป็น H2O จะต้องมแีรงยดึเหนี่ยวอีกประเภทหนึ่งยดึอะตอมเขา้ไวด้้วยกัน การทำาใหส้ลายตัวจงึต้องใชพ้ลังงานเพื่อทำาลายแรงยดึเหนี่ยวนัน้ แรงยดึเหน่ียวดังกล่าวเรยีกวา่แรงยดึเหน่ียวภายในโมเลกลุ
จากตัวอยา่งของนำ้าพอที่จะสรุปได้วา่สารชนิดต่าง ๆ นัน้ควรจะมแีรงซึ่งยดึเหนี่ยวอนุภาคของสารเขา้ไวด้้วยกัน โดยแบง่ออกเป็น 2 ประเภทคือ แรงยดึเหน่ียวระหวา่งโมเลกลุซึ่งทำาใหโ้มเลกลุของสารอยูร่วมกันเป็นก
89
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.ลุ่มก้อน และแรงยดึเหนี่ยวภายในโมเลกลุซึ่งทำาใหอ้ะตอมสามารถอยูร่วมกันเป็นโมเลกลุได้
ในบทนี้จะได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับแรงยดึเหนี่ยวภายในโมเลกลุ แรงยดึเหนี่ยวระหวา่งโมเลกลุ พนัธะเคมชีนิดต่าง ๆ โครงสรา้งและรูปรา่งของโมเลกลุ รวมทัง้ผลของแรงยดึเหน่ียวดังกล่าวที่มต่ีอสมบติัของสาร แรงยดึเหนี่ยวภายในโมเลกลุ
ดังที่ได้กล่าวแล้ววา่การที่อะตอมรวมกันเป็นโมเลกลุได้ก็เนื่องจากมีแรงยดึเหนี่ยวอะตอมเหล่านัน้เขา้ไวด้้วยกัน การแยกสลายโมเลกลุใหก้ลับไปเป็นอะตอมจงึต้องใชพ้ลังงานจำานวนหน่ึง เชน่
ก. เมื่อต้องการทำาใหก้ ๊าซ H2 1 โมลสลายตัวกลายเป็น H อะตอมทัง้หมดต้องใชพ้ลังงาน 436 kJ เขยีนสมการได้เป็น H2 (g) + 436 kJ 2H(g)
ข. เมื่อต้องการทำาใหก้๊าซ Cl2 1 โมลสลายตัวเป็น Cl อะตอมทัง้หมดต้องใชพ้ลังงาน 242 kJ
Cl(g) + 242 kJ 2Cl (g)ค. เม ื่อต้องการท ำาใหก้ ๊าซ HCl 1 โมล สลายตัวเป ็น H และ Cl
อะตอมทัง้หมดต้องใชพ้ลังงาน 431 kJHCl (g) + 431 kJ H (g) + Cl (g)
ขอ้มูลเหล่านี้แสดงวา่ต้องมแีรงยดึเหนี่ยวระหวา่งอะตอมในโมเลกลุ ซึ่งแรงยดึเหนี่ยวระหวา่งอะตอมคู่หนึ่ง ๆ ในโมเลกลุเรยีกวา่ พนัธะเคมี และพลังงานที่ต้องใชใ้นการแยกสลายอะตอมคู่หนึ่ง ๆ ในโมเลกลุเรยีกวา่ พลังงานพนัธะ
ดังนัน้แรงยดึเหน่ียวภายในโมเลกลุก็คือพนัธะเคมนัีน่เอง แบง่ออกเป็น 3 ประเภทคือ พนัธะโค-เวเลนต์ พนัธะไอออนิก และพนัธะโลหะ โดยทัว่ ๆ ไปมกัจะนำาแรงยดึเหน่ียวภายในโมเลกลุหรอืพนัธะเคมไีปใช้อธบิายเกี่ยวกับสมบติัต่าง ๆ ของสาร เชน่ รูปรา่งโมเลกลุ การละลายนำ้า การนำาไฟฟา้ และพลังงานของปฏิกิรยิา เป็นต้น
6.2 พนัธะโคเวเลนต์
90
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
พนัธะโคเวเลนต์ (Covalent bond) มาจากคำาวา่ co + valence electron ซ ึ่งหมายถึง พนัธะท ี่เก ิดจากการใชเ้วเลนซ ์อิเล็กตรอนรว่มกัน ดังเชน่ ในกรณีของไฮโดรเจน ดังนัน้ลักษณะที่สำาคัญของพนัธะโคเวเลนต์ก็คือการที่อะตอมใชเ้วเลนต์อิเล็กตรอนรว่มกันเป็นคู่ ๆ
สารประกอบที่อะตอมแต่ละคู่ยดึเหนี่ยวกันด้วยพนัธะโคเวเลนต ์เรยีกวา่ สารโคเวเลนต์
โมเลกลุของสารที่อะตอมแต่ละคู่ยดึเหนี่ยวกันด้วยพนัธะโคเวเลนต์ เรยีกวา่ โมเลกลุโคเวเลนต์
การเกิดพนัธะโคเวเลนต์พนัธะภายในโมเลกลุของไฮโดรเจนที่อุณหภมูแิละความดันปกติ ไฮโดรเจนจะอยูใ่นสถานะก๊าซ โดยที่ 1
โมเลกลุประกอบด้วยธาตไุฮโดรเจน 2 อะตอม เมื่ออุณหภมูสิงู ๆ โมเลกลุของไฮโดรเจนจะแตกสลายกลายเป็นอะตอมในสถานะก๊าซ แสดงวา่การสลายโมเลกลุใหเ้ป็นอะตอมต้องใชพ้ลังงานจำานวนหนึ่ง ดังนัน้ไฮโดรเจนอะตอมจงึมพีลังงานสงูกวา่ไฮโดรเจนโมเลกลุ การที่อะตอมมพีลังงานสงูกวา่โมเลกลุ ทำาใหอ้ะตอมอยูใ่นภาวะที่ไมเ่สถียร จงึพยายามรวมกันเป็นโมเลกลุ เพื่อทำาใหพ้ลังงานลดตำ่าลงและอยูใ่นภาวะที่เสถียร ซึ่งทำาได้โดยการสรา้งพนัธะระหวา่งอะตอม ทัง้นี้เพราะการสรา้งพนัธะจะมกีารคายพลังงานใหแ้ก่สิง่แวดล้อมจำานวนหนึ่ง พลังงานของระบบจงึลดลงและอยู่ในภาวะที่เสถียรขึ้น
จากแบบจำาลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก อะตอมมลัีกษณะเป็นกลุ่มหมอกทรงกลมซึ่งเกิดจากอิเล็กตรอนเคล่ือนที่ไปรอบ ๆ นิวเคลียสทัว่ทัง้อะตอม ซึ่งก็หมายความวา่โอกาสที่จะพบอิเล็กตรอนนัน้มอียูท่ัว่ไปในอะตอม แต่อยา่งไรก็ตามโอกาสที่จะพบอิเล็กตรอน ณ ตำาแหน่งใดตำาแหน่งหน่ึงในอะตอมจะมไีมเ่ท่ากัน ในขณะท่ีอิเล็กตรอนเคล่ือนท่ีไปรอบ ๆ นิวเคลียสจะเกิดแรงดึงดดูระหวา่งอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสขึ้น ซึ่งถ้า
91
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.พจิารณาเฉพาะแรงดึงดดูทางไฟฟา้สถิตระหวา่งประจุไฟฟา้ต่างชนิดกัน พลังงานของไฮโดรเจนอะตอมก็คือพลังงานที่เกิดจากแรงดึงดดูระหวา่งอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสนัน่เอง
เมื่ออะตอมอยูห่า่งกันแรงดึงดดูน้ีจะเกิดขึ้นเฉพาะภายในอะตอมเท่านัน้ แต่เมื่ออะตอมของไฮโดรเจนเคล่ือนท่ีเขา้มาใกล้กัน นอกจากจะมีแรงดึงดดูระหวา่งอิเล็กตรอนกับนิวเคลียสภายในอะตอมแล้ว ยงัเกิดแรงอ่ืน ๆ อีกคือ
ก. แรงดึงดดูระหวา่งนิวเคลียสของอะตอมหนึ่งกับอิเล็กตรอนของอีกอะตอมหน่ึง
ข. แรงผลักระหวา่งนิวเคลียสกับนิวเคลียสของอะตอมทัง้สองค. แรงผลักระหวา่งอิเล็กตรอนกับอิเล็กตรอนของอะตอมทัง้สอง
รูป แรงดึงดดูและแรงผลักระหวา่งไฮโดรเจนอะตอมเมื่อเขา้มาใกล้กันเมื่ออะตอมเขา้มาใกล้กัน จะเกิดแรงดึงดดูระหวา่งอิเล็กตรอนของ
แต่ละอะตอมกับนิวเคลียสของอะตอมทัง้สอง เนื่องจากมปีระจุต่างกัน ทำาใหบ้รเิวณระหวา่งอะตอมมอิีเล็กตรอนหนาแน่นขึ้น ในขณะเดียวกันเกิดแรงผลักระหวา่งนิวเคลียสกับนิวเคลียส และแรงผลักระหวา่งอิเล็กตรอนกับอิเล็กตรอนของอะตอมทัง้สอง เนื่องจากมปีระจุเหมอืนกัน จนกระทัง่อะตอมทัง้สองเขา้มาใกล้กันในระยะที่เหมาะสมที่ทำาใหแ้รงดึงดดูและแรงผลักดลุกัน ผลรวมของแรงทำาใหน้ิวเคลียสไมแ่ยกออกจากกัน รวมทัง้มีการใชอิ้เล็กตรอนรว่มกัน เกิดเป็นโมเลกลุเรยีกวา่ พนัธะโคเวเลนต์“ ”
92
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
ก. เมื่ออะตอมทัง้สองอยูร่วมกัน
รูป กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนของไฮโดรเจนอะตอม เมื่ออยูใ่นระยะต่าง ๆ กัน
6.3 พนัธะไอออนิกความหมายและการเกิดพนัธะไอออนิกพนัธะไอออนิก (Ionic bond) คือ แรงยดึเหนี่ยวที่เกิดในสาร
โดยท ี่อะตอมของธาตทุ ี่มคี ่าพล ังงานไอออไนเซชนัต ำ่า ให เ้วเลนต ์อิเล็กตรอนแก่อะตอมของธาตทุี่มค่ีาพลังงานไอออนไนเซชนัสงู กลายเป็นไอออนท่ีมปีระจุบวกและประจุลบ เมื่อไอออนทัง้สองเขา้มาอยูใ่กล้กันจะเกิดแรงดึงดดูทางไฟฟา้ที่แขง็แรงระหวา่งประจุไฟฟา้ตรงขา้มเหล่านัน้ ทำาให้ไอออนทัง้สองยดึเหน่ียวกันด้วย พนัธะเคมทีี่เรยีกวา่ พนัธะไอออนิก“ ”
93
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
ตัวอยา่งเชน่ โครงสรา้งของผลึกโซเดียมคลอไรด์เป็นของแขง็ รูปลกูบาศก์ ใสไมม่สีใีนผลึก มโีซเดียมไอออนสลับกับคลอไรด์ไอออน เป็นแถว ๆ ทัง้สามมติิ มลีักษณะคล้ายตาขา่ย โดยที่แตละไอออนจะมไีอออนต่างชนิดล้อมรอบอยู ่ 6 ไอออน ดังรูป 2 รูป ขา้งล่างดังน้ี
รูป โครงผลึกของสารประกอบโซเดียมคลอไรด์
รูป แสดงไอออนในผลึกโซเดียมคลอไรด์ แต่ละไอออนถกูล้อมรอบด้วยไอออนตรงขา้ม 6 ไอออน
เนื่องจากโลหะมค่ีาพลังงานไอออไนเซชนัตำ่า และอโลหะมคี่าพลังงานไอออไนเซชนัสงู ดังนัน้พนัธะไอออนิกจงึเกิดระหวา่งธาตโุลหะ และอโลหะได้ดี กล่าวคือ อะตอมของโลหะใหเ้วเลนต์อิเล็กตรอนกับอะตอมของอโลหะ แล้วเกิดไอออนบวกของโลหะ และไอออนลบของอโลหะ ไอออนทัง้สองจะสง่แรงดึงดดูระหวา่งประจุบวกและลบ เกิดเป็นพนัธะไอออนิก และการที่โลหะใหเ้วเลนต์อิเล็กตรอนแก่อโลหะ เพื่อปรบัใหม้เีวเลนต์อิเล็กตรอนเป็นแปด แบบก๊าซเฉื่อย สว่นอโลหะรบัเวเลนต์อิเล็กตรอนมานัน้ก็เพื่อปรบัตัวเองใหเ้สถียรแบบก๊าซเฉื่อยเชน่กัน ไอออนบวกกับไอออนลบจงึดึงดดูกันด้วยแรงดึงดดูระหวา่งประจุไฟฟา้เกิดเป็นสารประกอบไอออนิก (Ionic compound) ดังน้ี
94
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
การเกิดสารประกอบโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) จากโซเดียม (Na) อะตอมคลอรนี (Cl) อะตอม
การเกิด Na+
การเกิด Cl-
การเกิดสารประกอบ NaCl
เขยีนสตูรโครงสรา้งแบบลิวอิส ดังน้ี
Na + Cl Na Cl+ -2, 8, 12, 8, 7 2, 82, 8, 8
95
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.6.4 พนัธะโลหะ
พนัธะ โลหะ (Metallic bond) ค ือ พนัธะท ี่เก ิด เน ื่องจากแรงดึงดดูระหวา่งไอออนบวกซึ่งเรยีงชดิกันกับเวเลนต์อิเล็กตรอนที่เคล่ือนที่อยูโ่ดยรอบทัง้ก้อนโลหะ และการที่เวเลนต์อิเล็กตรอนเคล่ือนที่ได้อยา่งอิสระ เพราะโลหะเป็นธาตท่ีุมเีวเลนต์อิเล็กตรอนน้อยและมค่ีาพลังงานไอออนไนเซชนัตำ่า จงึทำาใหเ้กิดกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนและไอออนบวกได้ง่าย
อนึ่ง พนัธะโลหะมเีวเลนต์อิเล็กตรอนที่ยดึกับไอออนบวกไมไ่ด้เป็นของอะตอมใดอะตอมหนึ่งเพยีงอะตอมเดียว แต่เวเลนต์อิเล็กตรอนทกุตัวสามารถเคลื่อนที่ไปยงัอะตอมอื่น ๆ ได้ ซึ่งแตกต่างจากพนัธะโคเวเลนต์ ทัง้นี้เพราะในก้อนโลหะแต่ละอะตอมจะมอีะตอมอื่นล้อมรอบ 8 หรอื 12 อะตอม อะตอมจงึมเีวเลนต์อิเล็กตรอนไมพ่อที่จะทำาใหเ้กิดคู่อิเล็กตรอนที่ใชร้ว่มพนัธะระหวา่งอะตอมแต่ละอะตอมเขา้ด้วยกันทัง้หมดได้ ดังแบบจำาลองของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอน (Electron-sea model) ของก้อนโลหะ
รูป แบบจำาลองกลุ่มหมอกอิเล็กตรอน (Electron-sea model) ของก้อนโลหะ
จากแบบจำาลองของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนในก้อนโลหะ สามารถนำามาอธบิายสมบติับางประการของโลหะได้ดังน้ี
96
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
1. การท่ีโลหะมจุีดเดือดจุดหลอมเหลวสงู อธบิายได้วา่ ไอออนบวกที่อยูก่ับที่สง่แรงดึงดดูกับเวเลนต์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ไปมาอยา่งแรง และยดึกันอยา่งเหน่ียวแน่น
โลหะใดที่มเีวเลนต์อิเล ็กตรอนเพิม่ข ึ้น จะท ำาใหจ้ ุดหลอมเหลว จุดเดือด ความแขง็ ความหนาแน่นและความรอ้นแฝงในการกลายเป็นไอ จะเพิม่ขึ้นตาราง แสดงจุดหลอมเหลว ความหนาแน่นและความรอ้นแฝงของการก
ลายเป็นไอเพิม่ขึ้นตามเวเลนต์อิเล็กตรอนของโลหะโลหะ เวเลนต์
อิเล็กตรอนจุดหลอมเหล
ว (0C)ความหนา
แน่น (g/cm3)
ความรอ้นแฝงของการกลาย
เป็นไอ (kcal/mol)
NaMgAl
123
98650660
0.971.742.70
23.131.567.9
2. การที่โลหะนำาไฟฟา้ได้ดี อธบิายได้วา่ มเีวเลนต์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปมาทัง้ก้อนโลหะทกุทิศทกุทาง แต่โลหะจะนำาไฟฟา้ลดลงเมื่ออุณหภมูสิงูขึ้น เนื่องจากไอออนบวกเกิดการสัน่สะเทือนถี่และชว่งกวา้งมากทำาใหอิ้เล็กตรอนเคล่ือนที่ไมส่ะดวก
3. การที่โลหะมผีิวมนัวาว อธบิายได้วา่ กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ได้โดยอิสระกระทบกับแสงที่เป็นคลื่นแมเ่หล็กไฟฟา้ทำาใหผ้ิวโลหะสามารถสะท้อนแสงได้ดี
4. การท่ีโลหะตีแผ่เป็นแผ่น หรอืดึงเป็นเสน้ได้ อธบิายได้วา่ ไอออนบวกในก้อนโลหะแต่ละไอออนอยูใ่นสภาพเหมอืน ๆ กันได้รบัแรงดึงดดูจากประจุลบเท่ากันทัง้ก้อนโลหะ ไอออนบวกจงึเลื่อนไถลได้ไมห่ลดุจากกัน ในขณะเดียวกันก็รกัษาระยะระหวา่งนิวเคลียสและรกัษาโครงผลึกในก้อนโลหะไวอ้ยา่งเดิม
5. การที่โลหะเคาะแล้วเสยีงกังวาน อธบิายได้วา่ แรงยดึเหนี่ยวระหวา่งไอออนบวกกับเวเลนต์อิเล็กตรอนของก้อนโลหะแขง็แรงมาก
97
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.ประกอบกับไอออนบวกอยูใ่กล้ชดิกันมากทำาใหก้ารสัน่สะเทือนของอนุภาคในก้อนโลหะสง่แรงสัน่สะเทือนไปถึงกันอยา่งรวดเรว็ จงึเกิดเสยีงออกมาด้วยความถี่ค่อนขา้งสงูเป็นเสยีงกังวาน
ตาราง เปรยีบเทียบความแขง็แรงของชนิดพนัธะแบบต่าง ๆชนิดพนัธะ ความแขง็แรงของพนัธะ
(kJ/mol)พนัธะโลหะ(ประมาณ)พนัธะไอออนิกพนัธะโคเวเลนต์แรงดึงดดูระหวา่งโมเลกลุโคเวเลนต์
80 - 600100 - 450100 - 500
1 - 30
ตาราง การเปรยีบเทียบชนิดของพนัธะตามโครงสรา้งโลหะ
(giant mettallic)
สารโครงผลึกรา่งตาขา่ย(giant
molecular)
สารไอออนิก(giant ionic)
สารโคเวเลนต์
(simple molecula
r)1.โครงสรา้งก. ตัวอยา่งข . ชน ิดของอนุภาคค . ชน ิดของสาร
Na , Fe , Cu ,Auอะตอม
ธ า ต โุ ล ห ะหรอือโลหะผสมม ีEN. ตำ่า
เพชร , SiC , SiO2
อะตอมธาตอุโลหะในหมู ่IVA หรอืสารประกอบของธาตใุนหมู ่IVA
NaCl , CaO ,KO
Hไอออน
สารประกอบร ะ ห ว า่ งโลหะ-อโลหะท ี่ม ี EN. ต่างกันมาก
I2 ,CH4 , HCl , N2โมเลกลุ
ธ า ต อุ โ ล ห ะห ร อืสารประกอบอ โ ล ห ะ ท ี่ม ีEN. สงู
2. ชนิดของพนัธะ
พนัธะโลหะ พนัธะโคเวเลนต์แบบโครง
ผลึกรา่ง
พนัธะไอออนิก
พนัธะโคเวเลนต์
98
เอกสารประกอบการสอนวชิาเคมพีื้นฐาน (สารและสมบติัของสาร) หน่วยท่ี 6 สรา้งสรรค์โดย ชมรม ควคท.
ตาขา่ย3.สมบติัก. สถานะท่ีอุณหภมูหิอ้ง
ของแขง็ ของแขง็ ของแขง็ข อ ง เ ห ล วห ร อื ก ๊า ซ (ย ก เ ว น้ P4 ,I2 ,S8 ของแขง็)
ข. ความแขง็ แขง็และเหนียว
แขง็แต่เปราะ แขง็แต่เปราะ
อ่อน
ค . ก า ร น ำาไฟฟา้
เป็นตัวนำาไฟฟา้ท่ีดีเมื่อเป็นของแขง็
หรอืของเหลว
ไ ม น่ ำา ไ ฟ ฟ า้ ย ก เ ว น้ แ ก ร ์ไฟต์
ไม น่ ำา ไ ฟฟ า้เ ม ื่อ เ ป ็นของแขง็ แต่เ ม ื่อหลอมเหลวนำาไฟฟา้ได้ดี
ไม น่ ำา ไ ฟฟ า้ ยก เว น้สารโคเว เลนต ์ท ี่ม ีสมบตัิเป็นกรด นำาไฟฟา้
ง . ก า รละลาย
ไมล่ะลายในตัวทำาละลายมขีัว้และไมม่ีข ัว้ แ ต ่ล ะลายในโลหะท่ีหลอมเหลว
ไมล่ะลายในตัวทำาละลายทกุ
ชนิด
ละลายได้ในตัวทำาละลายม ขี ัว้ ไ ม ่ละลายในตัวท ำา ล ะ ล า ยไมม่ขีัว้
โมเลกลุมขีัว้ละลายในตัวท ำาละลายม ีข ัว้ ส ว่ นโมเลกลุไมม่ ีข ัว้จะละลายใ น ต ัว ท ำาล ะลา ย ไ ม ม่ ีขัว้
**********************************************************************************
99